ประเทศไทย อยูในที่ต้องที่เหมาะสมแก่การทําการเกษตรเขตร้อนทุกรูปแบบ คนไทยส่วนมาก เป็นเกษตรกร มีพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 65 ล้านไร่ ร้อยละ 20 ทั้งประเทศ ได้ข้าวประมาณ 24 ล้านตัน มีฟางข้าวเฉลี่ยปีละ 25 ล้านตัน และมีปริมาณตอซังค้างอยู่ในนาข้าวเฉลี่ย 16 ล้านตันต่อปี ตอซังข้าวเป็นวัสดุที่ย่อยสลายง่าย มีปริมาณธาตุอาหารหลักของพืช แต่มีเกษตรกรที่ยังนิยมเผาตอซัง เพื่อความสะดวกในการเคลียร์หน้าดินและกำลังศัตรูพืช หากเผาตอซังและฟางข้าวทิ้งไป จะทำให้เกิดมลพิษความร้อน ควัน ฝุ่น และสภาพดินที่เปลี่ยนไปเนื่องจากความร้อนของการเผาตอซัง โดยมี 4 ผลเสียหลัก ๆ ดังนี้

  1. โครงสร้างหน้าสภาพหน้าดินเปลี่ยนไป ทำให้ดินแข็งและจับตัวกันเป็นก้อน ทำให้รากไม่สามารถหาอาหารเองได้ 
  2. ดินเกิดการสูญเสียอินทรียวัตถุและธาตุอาหารที่ต้องมีในการปลูก
  3. ทำลายแมลงและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน
  4. การเผาตอซังมีความร้อนสูง ทำให้น้ำในดินระเหย จนดินเกิดการสูญเสียน้ำจนแห้งกรังได้

การไถกลบตอซัง

หมายถึง การไถกลบพืชไร่หรือข้าวหลัวจากเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นการเตรียมหน้าดินให้มีความชื้น เพื่อเตรียมเพาะปลูกในครั้งถัดไป และปล่อยทิ้งไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้เกิดการย่อยสลายให้เป็นแหล่งธาตุอาหาร เพื่อให้การปลูกในครั้งต่อ ๆ ไป ได้รับธาตุอาหารและจุลินทรีย์ที่เพียงพอ

ประโยชน์ของการไถกลบตอซัง

  1. โครงสร้างหน้าดิน
    • ดินโปร่ง ร่วน ง่ายต่อการเตรียมหน้าดิน
    • การระบายอากาศของดินดีขึ้น
    • การอุ้มน้ำของดินซึมซับได้อย่างเหมาะสม
  2. แหล่งธาตุอาหารในดิน
    • ลดดินเค็มจากความเป็นพิษ
    • เพิ่มธาตุอาหารแก่ดินโดยตรง
    • รักษาสมดุลความเป็นกรดด่างในดิน
    • ดูดซับธาตุอาหารในดินให้พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
  3. เพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน
    • เพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ในผล ช่วยให้ลดการเกิดโรคในพืชได้
    • เพิ่มแหล่งที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์และแมลงที่เป็นประโยชน์ในดิน

วิธีในการไถกลบตอซัง

หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการไถกลบตอซัง แล้วปล่อยน้ำเข้าสู่นา ให้ระดับน้ำพอท่วมตอซัง หลักจากนั้น ให้เตรียมปุ๋ยอินทรีย์ 5 ลิตรต่อไร่ ผสมกับน้ำ 100 ลิตร อันตราส่วน 1:20 ราดในแปรงนา เพื่อให้ตอซังย่อยสลายลงในดินได้ง่ายขึ้น หมักไว้ 2-3 สัปดาห์ แล้วเตรียมแปรงพร้อมปลูกต่อไป

จะเห็นได้ว่าการไถกลบตอซังข้าว เป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่งที่จะหาวิธีการและแนวทางให้เกษตรกรนําไปปฏิบัติกันมากขึ้น เพื่อเป็นการปรับปรุงบํารุงดิน เพิ่มความสมบูรณ์ให้แก่ดิน ลดต้นทุนการผลิต รักษาสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะการลดการใช้ปุ๋ยเคมี ช่วยในการแก้ไขปัญหาการในการผลิต และจะเป็นการพัฒนาสู่การทําการเกษตรในอนาคตได้อีกยาวไกล

ติดต่อเพิ่มเติม